ก่อนจะลงรายละเอียดเรื่องเกี่ยวกับการรีไฟแนนซ์ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ถึงสาเหตุของปัญหาให้ได้เสียก่อน เหตุใดการอธิบายรายละเอียดจึงเป็นเรื่องยากและใช้เวลานาน ลองมาเริ่มด้วยพื้นฐานกันก่อน โดยมีปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ต้องพิจารณา คือ ราคาเฉลี่ยของรถและยอดเงินคงเหลือ, ความน่าเชื่อถือทางเครดิตของเจ้าของรถ และความสามารถในการชำระหนี้ ก่อนที่จะวิเคราะห์และหาทางแก้ปัญหา การวิเคราะห์และปรับให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ของสถาบันการเงินและเกณฑ์การตัดสินใจเรื่องรายได้แต่ละแห่งถือเป็นเรื่องสำคัญ
ทำความรู้จักสินเชื่อ เช่าซื้อ กับรีไฟแนนซ์ เป็นอย่างไร ต่างกันตรงไหน
การขอสินเชื่อรถยนต์ผ่านแหล่งเงินทุนหรือการรีไฟแนนซ์ กลายเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนพยายามสมัคร แต่กลับถูกปฏิเสธแม้จะเห็นโฆษณาที่รับรองการอนุมัติง่ายแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการเช่าซื้อรถยนต์ การซื้อรถ หรือการรีไฟแนนซ์ ดูเหมือนว่ากระบวนการต่าง ๆ จะท้าทายมากกว่าที่เคยเป็น สินเชื่อรถยนต์เพื่อการเช่าซื้อหรือซื้อรถยนต์ เป็นที่ต้องการของบุคคลทั่วไปที่ต้องการซื้อรถมือสอง ในทางกลับกัน การรีไฟแนนซ์มักเกิดขึ้นกับผู้ที่ต้องการเงินทุนเพิ่มเติม และเต็มใจที่จะใช้รถยนต์ของตนเองเป็นหลักประกัน เกณฑ์ในการประเมินใบสมัครสินเชื่อจึงแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของสินเชื่อที่ต้องการ ดังนั้นลองมาดูความต่างระหว่างสินเชื่อรถยนต์ เช่าซื้อ และการรีไฟแนนซ์ ต่างกันอย่างไร?
1.ต่างกันที่อัตราดอกเบี้ย
สินเชื่อการเช่าซื้อจะมีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 5-7% ต่อปี หากเครดิตดีอยู่ในระดับ A อัตราดอกเบี้ยอาจสูงกว่าสินเชื่อรถยนต์ป้ายแดงเพียง 2% ส่วนการรีไฟแนนซ์จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
- การรีไฟแนนซ์ด้วยตัวเลือกสินเชื่อเช่าซื้อ ต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์ จะคล้ายกับการซื้อบ้าน อัตราดอกเบี้ยโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 5-7% ต่อปี
- การรีไฟแนนซ์ด้วยตัวเลือกจำนำเล่ม ไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ โดยทั่วไปจะมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 18%-21% ต่อปี
2.จำนวนของยอดจัด
โปรแกรมสินเชื่อการเช่าซื้อจะมีข้อเสนอการจัดเงินทุน 100%-120% ของราคาเฉลี่ยรถมือสองรุ่นใดรุ่นหนึ่ง หรือขึ้นอยู่กับราคาขายจากตลาดรถมือสอง แต่สำหรับการรีไฟแนนซ์ ยอดจัดวงเงินสินเชื่อจะอยู่ที่ 70-80% ของราคาเฉลี่ยรถมือสองรุ่นใดรุ่นหนึ่ง ตัวเลือกการรีไฟแนนซ์บางตัวเลือกให้วงเงินสินเชื่อสูงถึง 150% แต่ลูกค้าจะต้องมีเครดิตดีและมีรายได้ที่ชัดเจน หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข อาจมีการปรับวงเงินสินเชื่อให้ลดลงไปตามลำดับ หรืออาจไม่ได้รับการพิจารณาเลย
3.ประเภทของสินเชื่อ
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจประเภทของสินเชื่อที่ต้องการสมัครใช้ ในกรณีของการเช่าซื้อ การโอนสิทธิ์เจ้าของเป็นของผู้ให้บริการทางการเงิน ในขณะที่ผู้ใช้รถคือตัวเรา จึงต้องตรวจสอบสัญญาก่อนดำเนินการทางกฎหมายใด ๆ เพื่อพิจารณาลักษณะของสินเชื่อ แต่หากเป็นการรีไฟแนนซ์สามารถแบ่งย่อยได้อีกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
- การรีไฟแนนซ์ผ่านการเช่าซื้อ จะมีต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์คล้ายกับการซื้อและขายปกติ
- การรีไฟแนนซ์ผ่านการจำนำ จะไม่เกี่ยวข้องกับการโอนกรรมสิทธิ์ ข้อตกลงเหล่านี้โดยทั่วไปใช้สำหรับเงินกู้
4.เรื่องของเงื่อนไขและเกณฑ์พิจารณา
การพิจารณาเกณฑ์ในการประเมินเงื่อนไขสินเชื่อเช่าซื้อนั้น มีปัจจัยหลายประการที่ต้องคำนึงถึง ยี่ห้อและรุ่นรถของลูกค้าที่ต้องการซื้อ เครดิตของลูกค้า และความร่วมมือ โดยรวมระหว่างลูกค้ากับดีลเลอร์รถมือสอง ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ส่วนการรีไฟแนนซ์ สิ่งสำคัญคือต้องประเมินเครดิตของลูกค้าก่อน หากคะแนนเครดิตดี เป็นระดับเกรด A อาจพิจารณาตัวเลือกเช่าซื้อ โดยให้วงเงินกู้สูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยต่ำลง แต่หากคะแนนเครดิตไม่น่าพอใจ อาจปรับเงื่อนไขให้เหมาะสมได้ วงเงินสินเชื่อสูงสุดมักกำหนดไว้ที่ 300,000 บาท หากเกินกว่านั้นต้องตรวจสอบเครดิตให้ดีก่อน ต้องกำหนดเงื่อนไขมาล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด ลูกค้าที่ต้องการกู้เงินในจำนวนที่ต่ำกว่ามูลค่าหลักประกัน จะได้ไม่ประสบปัญหาใด ๆ แต่ถ้ามูลค่าหลักประกันที่เกิน 300,000 บาทขึ้นไป ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเครดิต วิธีนี้จะช่วยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินขั้นตอนได้อย่างราบรื่น
การรีไฟแนนซ์รถยนต์ ดีอย่างไร? มีประโยชน์ต่อเจ้าของรถ จริงไหม?
หากคุณกำลังต้องการชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้รถยนต์ หนี้บ่าน หรือค่าผ่อนสินเชื่อต่าง ๆ จะเป็นประโยชน์ในชีวิตมากขึ้น ถ้าสามารถเปลี่ยนรถบนต์เป็นเงินได้ ซึ่งจะทำให้มีเงินทุนสำรองไว้ใช้มากขึ้น การรีไฟแนนรถซ์จึงเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้มากกว่าเดิม จัดการหนี้ได้ง่ายขึ้น และปรับปรุงสถานะทางการเงินของคุณให้ดีขึ้น การรีไฟแนนซ์เกี่ยวข้องกับการสมัครสินเชื่อ เพื่อโอนสินเชื่อที่มีอยู่จากสถาบันการเงินหนึ่งไปยังสถาบันการเงินใหม่ ซึ่งสามารถทำได้ทั้งกับรถยนต์และรถจักรยานยนต์
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์รถ คือ การลดค่าใช้จ่ายรายเดือนและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่ก็ยังมีข้อเสีย คือ ระยะเวลาการชำระคืนที่นานขึ้นและอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าปรับอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับการชำระคืนเงินกู้ หรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้ระยะเวลาการชำระคืนขยายออกไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานะเครดิตของผู้กู้ ดังนั้น เมื่อตัดสินใจรีไฟแนนซ์ สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบ เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สรุปแล้ว การตัดสินใจรีไฟแนนซ์ควรทำหลังจากประเมินข้อดีและข้อเสียอย่างถี่ถ้วนแล้วเท่านั้น จึงจะช่วยให้การชำระหนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด