การที่ต้องมาเรียนรู้การทำเว็บไซต์โหญ่โตมโหฬารอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เริ่มทำธุรกิจเล็กๆ เช่น คุณตาท่านหนึ่งต้องการขายหมอนรองก้น ครั้นจะให้ท่านไปศึกษาการทำเว็บพร้อมขายของไปด้วยอาจจะใช้เวลานานเกินไป ด้วยเหตุนี้เอง Sale Page จึงเข้ามาแก้ปัญหาเพราะสร้างหน้าเว็บไซต์ก็ขายของได้ทันทีครับ
Sale Page คืออะไร
Sale Page ที่จริงแล้วก็คือหน้าๆ หนึ่งของเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อขายสินค้า (products) และบริการ (services) อย่างใดอย่างหนึ่งของธุรกิจเราครับ อาจเป็นเป็นได้ทั้งให้ข้อมูลสินค้าหรือบริการกับลูกค้านอกจากนี้ยังโน้มน้าวใจคนอ่านให้ซื้อสินค้าแล้วบอกต่อ Sale Page แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ Short-form pages และ Long-form pages ครับ
Sales Page ต่างจาก Landing Page อย่างไร
ตามนิยามแล้วความหมายของ Sale Page และ Landing Page นั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกันครับ เพราะว่าทั้งสองอย่างนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเว็บไซต์เหมือนกันทำหน้าที่ในการให้ลูกค้าทำอะไรสักอย่าง เช่น ดาวน์โหลดไฟล์ ดูวิดีโอ หรือสั่งซื้อของ เป็นต้น
ส่วนความแตกต่างกันคือ Sale Page จะสร้างมาเพื่อโน้มนาวใจลูกค้าเพื่อให้ซื้อสินค้าและบริการ แต่ Landing Page จะสร้างเพื่อเหตุผลหลายอย่าง เช่น ให้ลูกค้าลงทะเบียนสัมนาเพื่อให้ทีมขายเก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อเสนอขายสินค้าต่อไป
ตัวอย่างการออกแบบ sale page ที่ดีและน่าสนใจ
1. หัวข้อต้องน่าสนใจ (Headline)
ผู้อ่านทราบไหมครับว่าคนซื้อไม่ได้สนใจคุณสมบัติของตัวสินค้าเลยครับ แต่สนใจว่าสินค้าให้ประโยชน์อะไรกับตัวเขาบ้าง เช่น เรารู้สึกร้อนมากๆ เราสนใจจะซื้อแอร์ แต่เราไม่ได้สนใจว่าแอร์นั้นมีสเปคอย่างไร (ถึงซื้อกันผิดเยอะไงครับ) เพราะฉะนั้นหัวข้อที่น่าสนใจต้องเอาสิ่งที่คนสนใจมาเข้าโน้มน้าวใจครับ เช่น เย็นจนหนาวเหมือนขั้วโลกเหนือด้วยแอร์จากประเทศกรีนแลนด์ราคาเพียง 15,000 บาท พร้อมติดตั้งฟรีถึง 30 มีนาคม 2566 นี้เท่านั้น เป็นต้น
2. คำอธิบายต้องซื้อใจได้ (Copy)
คำอธิบายหมายถึงข้อความที่โน้มน้าวใจ ผมแนะนำนะครับให้เอาปัญหาของลูกค้าที่ต้องเป็นข้อๆ แล้วเขียนข้อความให้สามารถแก้ปัญหาของลูกค้าได้ เช่น แอร์กินไฟก็เขียนไปว่าแอร์นี้จะช่วยประยัดไฟเพราะมีฉลากเบอร์ 5 หรือแอร์ยี่ห้อนี้ให้ความเย็นมากกว่ายี่ห้ออื่นในตลาด 1.5 เท่า แบบนี้ครับ
3. ใส่ปุ่มสั่งซื้อ (CTA Button)
ถ้าหัวข้อดี และคำอธิบายดีแล้วละก็เราต้องใส่ปุ่มสั่งซื้อ (CTA Button) เพื่อให้คนอ่านเปลี่ยนเป็นคนซื้อครับ ถ้ามีคนคลิกน้อยลองไปแก้ใน 2 หัวข้อข้างต้นครับ
4. รีวิวจากลูกค้า (Testimonials)
กว่าเราจะเชื่อถือใครต้องใช้เวลาครับ ลูกค้าก็เช่นการที่รีวิวจากลูกค้าคนก่อนๆ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวสินค้าและบริการมากขึ้น ลูกค้าไม่ได้สนใจว่าแพงหรือถูก แต่ต้องถูกใจครับ ลูกค้าถึงจะควักเงินซื้อ เช่น อาจจะโชว์ยอดการสั่งซื้อไปแล้วกี่ชิ้น มีคอมเมนต์ชมกี่คน ขายมาแล้วกี่ปี เป็นต้น