‘Masala Tea’ นี่แหละคือ ‘ชาอินเดีย’ ขนานแท้ ชาแบบนี้นั้นก็จะมีรสชาติที่แตกต่างจากชาไทย ชาไทยจะมีรสชาติหวานเพราะผ่านการชงและใช้นมบวกกับน้ำตาลในการเพิ่มความหวานมัน แต่ชาอินเดียจะเด่นเรื่องเครื่องเทศ ส่วนผสมที่เขาจะใส่เข้าไปในชาก็จะเป็น Masala ชนิดผงที่ช่วยเพิ่มความเผ็ดให้กับชาอีกทั้งยังมีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยากแต่ต้องใช้เวลานานเพราะต้องเคี่ยวจนเข้ากัน
ชาอินเดียกับประวัติศาตร์ที่น่ารู้
ชาอินเดีย หรือ Masala Tea เป็นชาที่ถูกกล่าวถึงในตำราการแพทย์อายุรเวทซึ่งก็เป็นตำรับยาอินเดียโบราณที่จะช่วยให้สุขภาพมีความแข็งแรง โดยในประเทศอินเดียนั้นอุตสาหกรรมชาถือว่ามีความใหญ่โตไปทั่วโลก ซึ่งการที่อุตสาหกรรมชามีมากมายขนาดนี้ก็ต้องมาดูกันที่เรื่องของประชากร ซึ่งประชากรของอินเดียนั้นก็มีมากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องปลูกชาให้เพียงพอเพื่อรองรับจำนวนประชากรนั่นเอง อีกทั้งยังจำเป็นที่จะต้องรองรับในเรื่องของการส่งออกไปทั่วโลกจึงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างเงินให้แก่ชาวอินเดียได้เป็นอย่างดี
โดยชาอินเดียนี้มีจุดเริ่มต้นจากการถูกกล่าวถึงในมหากาพย์รามายณะ และได้รับการบอกต่อจากพระพิธธรรมในเรื่องของประโยชน์ของชาอินเดียที่สามารถรักษาโรคได้ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นก่อนการที่จะกลายเป็นอาชีพการปลูกชาที่ได้รับความแพร่หลายในทุกวันนี้
ซึ่งในสมัยก่อนประเทศอินเดียนั้นยังไม่รู้จักวิธีการชงชาที่ดีพอแต่ชาที่เป็นที่เลื่องชื่อของอินเดียมากที่สุดก็คือชาอัสสัม ซึ่งก็มาจากชื่อของรัฐอัสสัม โดยที่จุดเด่นของชาชนิดนี้ก็คือจะเป็นชาที่มีสีดำ มีรสเข้มข้นและมีกลิ่นเครื่องเทศที่คละคลุ้งช่วยให้หายใจได้โล่งขึ้น
ซึ่งชาอัสสัมนี้นี่เองที่ทำให้หลายประเทศรู้ถึงประเพณีและวัฒนธรรมชองชาวอินเดียมากยิ่งขึ้น ด้วยความที่มีกลิ่นชาและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้ชาชนิดนี้สามารถทัดเทียมกับชาของประเทศจีนได้ และในช่วงแรกนั้นชาได้ถูกนำมาเป็นเป็นของบริโภคเยียวยาแก่พระสงฆ์และต่อมาวัฒนธรรมของอังกฤษก็ได้เข้ามาในประเทศทำให้เกิดเป็นชา Masala ขึ้น
ซึ่งเป็นชาที่ใส่เครื่องเทศต่าง ๆ ของอินเดียเอาไว้ด้วย อีกทั้งยังเพิ่มความเผ็ดร้อนด้วยขิง อบเชย และอาจมีกระวานใส่ลงไปด้วยซึ่งก็จะได้รสชาติที่แปลกใหม่แต่ก็มีความอร่อยอยู่ในตัวและทำให้ชาอินเดียนั้นเป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ชาอินเดีย ประโยชน์
ชาของอินเดียนั้นมีส่วนผสมของเครื่องเทศและสมุนไพร มีประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นการทำงานของร่างกายและอวัยวะในระบบต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ช่วยปรับภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้น ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยเสริมสร้างระบบหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอก
