ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจคำว่า “Growth Mindset” ก่อน ซึ่งก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากสำหรับในด้านภาษาเพราะก็แทบจะแปลได้ตรงตัวอยู่แล้ว Growth แปลว่าการเจริญเติบโต Mindset แปลว่า ความคิดหรือการคิด เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกันเราก็จะแปลได้ว่าว่า ความคิดหรือการคิดแบบเจริญเติบโต ดูเผินก็ดูเข้าใจแล้ว ไม่ได้มีความซับซ้อนใดๆเลย ซึ่งจะเอาให้เป็นทางการหน่อย Growth Mindset ก็คือ การคิดหรือความคิดที่จะผลักดันให้ตัวเองเจริญก้าวในทุกๆด้าน
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความคิดแบบไหนที่จะทำให้คนเราเจริญก้าวหน้าได้ ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ถ้าจะมองให้ลึกซึ้งคำว่า Growth Mindset นั้นก็ลึกซึ้งมากๆ เพราะคำ ๆ นี้เปรียบเสมือนหัวใจแห่งความสำเร็จ ความเจริญในชีวิตของคนเราเลยก็ว่าได้ ดังที่นักพูดนักคิดเขาพูดกันว่า ถ้าอยากรวยให้คิดว่าเราจะรวย เพียงแค่คิดเท่านั้น เราก็สามารถรวยได้ “ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยความคิด”ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเกิดขึ้นจากความคิด หากใครที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ อยากจะทดลองเราขอท้าเลยว่าท่านก็สามารถนำ Growth Mindset นี่ไปทดสอบกับชีวิตของท่านเองได้ เราจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่าแค่ “ความคิด” นั้นจะทำให้เราเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไร โดยเราจะยกตัวอย่างของคนที่คิดว่าตัวเองจะรวย ซึ่งเราเองก็เชื่อว่า ทุกคนที่อ่านบทความนี้อยู่ก็อ่านเพราะอยากจะรวย อยากประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน
คนที่คิดว่าตัวเองจะต้องรวยแน่นอนนั้นความคิดแรก หรือจุดประสงค์ของการคิดอย่างแรกเลยคือ “เราจะรวยแน่นอน” ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีเงินติดตัวอยู่เลยซักบาท ข้าวจะกินมือต่อจากนี้ก็ยังไม่รู้จะหาที่ไหนกิน แต่ถ้าคิดว่าตัวเองจะรวยแน่นอน ก็ให้ฝังความคิดนั้นไว้ในสมองเราให้ได้ จำให้ได้ คอยคิด คอยย้ำตัวเองอยู่เสมอว่า เราจะต้องรวยแน่นอนและหลังจากที่เราฝังความคิดว่า “เราจะรวยแน่นอน” ชัดเจนในสมองเราแล้ว
สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราเลยก็คือ “ความเชื่อมั่น” ความมั่นใจว่าตัวเองจะรวยแน่นอน และเมื่อมีความเชื่อมั่นแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาคือ การหาวิธี การหาหนทางที่จะทำให้ตัวเองรวย ซึ่งก็อาจจะเกิดจากการคิดของตัวเราเองบ้าง การไปค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตบ้าง การไปสอบถามไปเรียนรู้วิธีที่จะทำให้ตัวเองรวย
เห็นไหม! แค่เราคิดว่า “เราจะรวยแน่นอน” สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ความเชื่อมั่นในตัวเอง หลังจากมีความเชื่อมั่นในตัวเองแล้ว ก็จะนำไปสู่การลงมือทำ ซึ่งการลงมือทำของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันออกไปอย่างแน่นอน และแล้วในที่สุดเราก็จะเกิดการปฏิบัติ การลงมือทำ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าเราจะทำงานใดๆก็แล้ว เราก็ต้องเริ่มจากการหาข้อมูลก่อน การหาข้อมูลนั้นก็ไม่ได้จำกัดแค่ว่าจะหาอ่านตามอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เพราะถ้าเอาจริงๆแล้วตามอินเตอร์เน็ตนั้น จะเป็นเรื่องที่นักเขียนแต่งขึ้นมาซะมากกว่า
ฉะนั้นนอกจากการหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตแล้ว หนังสือสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ แหล่งความรู้นี้ก็มีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นมาอีกในระดับหนึ่ง หรือเรียกว่าความน่าเชื่อถือในระดับสูงเลยก็ว่าได้ หรือบางคนอาจจะหาข้อมูลด้วยการไปของจริงเลย ไปดูเลยว่าเขาทำกันยังไงเขาถึงรวย ซึ่งการไปดูของจริงเลยนั้นก็จะมีข้อดีว่าเราได้เห็นสภาพหน้างานจริง การทำงานจริงๆ แต่ถ้าเราไม่มีข้อมูลหรือไม่มีคนให้ข้อมูลเชิงลึก การไปดูของจริงนั้นก็อาจจะไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร แต่น้อยๆเราก็ได้แรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ที่กล่าวมานั่นคือ กระบวนการที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราคิดเท่านั้น เพียงแค่เราคิดชีวิตเราก็เปลี่ยนจริงๆ ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จโดยส่วนมากแล้ว ก็เกิดจากความคิดแทบจะทุกคน เพราะทุกอย่างเริ่มต้นที่ความคิด ในทางตรงกันข้าม หากเราคิดว่าว่า “ยังไงชีวิตนี้ก็ไม่มีทางรวย” เป็นยังไงบ้างเมื่อเราได้ยินหรือได้อ่านคำนี้ เราสึกว่าทำไมชีวิตมันช่างหดหู่ ทำไมชีวิตมันเหมือนไม่มีแก่นสารอะไร ไม่อยากทำอะไรเลย
ถึงทำยังไงชีวิตเราก็ไม่มีทางรวยอยู่ดี เมื่อเราคิดแบบนี้แล้ว สิ่งที่จะเกิดตามมาก็เหมือนเดิมคือความเชื่อมั่น เชื่อว่าตัวเองจะต้องยากจนตลอดไป เมื่อเกิดความเชื่อมั่นแบบนี้แล้ว แล้วเราอยากจะหาข้อมูลไหม อยากจะรู้ต่อไม่ว่าทำยังไงถึงจะจน ไม่ต้อง! เพราะร่างกายมันก็ตอบสนองต่อความคิดของเราในทันที เริ่มรู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนแรง เริ่มง่วงนอน เริ่มหมดกำลังใจ ไม่อยากจะทำอะไรแล้วถึงทำไปชีวิตเราก็ไม่มีทางรวยอยู่ดี แล้วแบบนี้คนที่คิดว่า “ทำยังไงก็ไม่รวย” เขาจะมีทางรวยได้ไหมก็บอกได้เลยว่า “ไม่มีทาง”
ฉะนั้นหากเราอยากจะเปลี่ยนตัวเองนั้นจริงๆแล้วเราใช้เวลาไม่ต้องถึง 1 นาทีเลยก็สามารถเปลี่ยนตัวเองได้แล้ว เพียงแค่เรา “คิด” และกำหนดเป้าหมาย หรือกำหนดความคิดนั้นให้ชัดเจน แล้วสิ่งต่างๆมันจะตามมาโดยอัตโนมัติของมันเอง ซึ่งหลายคนมักบอกว่า ความคิดจะดึงสิ่งที่เราคิดเข้าหาตัวเรา จริงๆแล้วมันก็ไม่เชิงว่าเราคิดแล้วจะได้มันมาเลย แต่ความคิดมันเรียกว่าเป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลงมันน่าจะเหมาะกว่า